"อาแหมะ" ชื่อที่ผมเรียกแทน แม่
ผมถือกำเนิดมาจากมนุษย์สองท่านนี้ ที่ซึ่งพ่อแม่ของพวกเขารู้จักกันดี
กล่าวคือ อากงของผม ในที่นี้หมายถึง ปู่ พ่อของพ่อ
กับ อาม่าของผม ในที่นี้หมายถึง ยาย แม่ของแม่
พวกเขารู้จักและสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก ก่อนที่พ่อแม่ของผมจะเกิดเสียอีก
พวกเขาเคยขี่ม้าเที่ยวเล่นไปด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน เรียนภาษาจีนด้วยกัน
ในฐานะคนแซ่เดียวกัน ณ ช่วงเวลาหนึ่ง
จนในเวลาต่อมา ลูกชายและลูกสาวของพวกเขาได้มาแต่งงานกัน
ทำให้เด็กชายคนหนึ่งเกิดขึ้นมาบนโลก กลายมาเป็นผมเอง
ที่พอโตขึ้นหน่อย ก็ดื้อ จนผู้ใหญ่เกือบทุกคนมองว่า
เจ้าเด็กนี่แหละ ที่ดื้อที่สุด บอกยากที่สุดในครอบครัวและที่อื่นๆ
และผมยังดูเหมือนเด็กสมาธิสั้นที่สุดคนหนึ่งที่อยู่นิ่งไม่ได้แม้แต่ในงานศพ
ซึ่งเด็กสมาธิสั้นรายนั้น เป็น ผม จริงๆ
แม้ทุกวันนี้ ผมยังคิดอยู่เลยว่า ตัวเองยังสมาธิสั้นอยู่…..
ในตอนเด็ก อาปาไม่ค่อยได้อยู่กับผม
เพราะท่านกำลังวุ่นๆ อยู่กับการทำงานและกำลังประสบความสำเร็จทางธุรกิจอย่างมาก
ผมจึงอยู่ที่บ้านกับอาแหมะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งดูแลผมเป็นอย่างดี
ทำให้ผมสนิทสนมกับอาแหมะมากในตอนนั้น
ไปไหนก็ไปกับอาแหมะ เกาะขาไปได้ทุกที
อย่างไรก็ตาม เมื่อผมโตขึ้นอีก เข้าสู่วัยรุ่น
ผมกลับเห็นว่า
ตัวเองมีความคิดแตกแยกและแตกต่างจากครอบครัวมาก
โดยเฉพาะอาปากับอาแหมะ
ในช่วงมัธยม ผมเริ่มติดเพื่อน
กลับบ้านช้ากว่าปกติ และก็ช้าขึ้นๆ เรื่อยๆ
ทำให้อาปาไม่พอใจอยู่เป็นประจำ
เพราะอาปาต้องการให้ผมรีบกลับบ้าน
มาอยู่กับครอบครัว หรือช่วยทำอะไรที่เป็นประโยชน์ในบ้าน
นอกจากเพียงสนุกอยู่กับเพื่อนที่โรงเรียนหลังเลิกเรียน
อีกทั้ง ในวันหยุด ทุกครั้งที่ผมหายไปจากบ้าน โดยเฉพาะเมื่อหายไปทั้งวัน
ผมจะโดนตำหนิและโดนบ่นอย่างหนักจากอาปาและอาแหมะจนกระทั่งทะเลาะกัน
นอกจากนี้ สิ่งที่ผมเจอในสังคมที่โรงเรียน มันเย้ายวนผมมากยิ่งกว่าอะไรที่มีอยู่ในครอบครัว
โดยเฉพาะแนวคิดและวัฒนธรรม
ตัวอย่างเช่น เรื่องการใช้จ่าย และการไปไหนมาไหนกับเพื่อนฝูงอย่างอิสระเหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ ทำกัน
มันเป็นผลให้ผมสนใจและใช้ชีวิตไปกับสังคมภายนอกมากยิ่งกว่าในครอบครัว
สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้ผมรู้สึกว่า ครอบครัวผมช่างแตกต่างจากสังคมเหลือเกิน
จนกลายเป็นว่า ผมมองอาปาอาแหมะ เป็นคนจีนหัวโบราณ
และจะทำให้ผมอยู่ในสังคมนี้ไม่ได้
ผมจึงมักไม่อยากกลับบ้าน นอกจากกลับมานอน
เพราะผมไม่มีความสุขกับครอบครัวที่ปิดกั้นอิสระของผม
แต่ผมกลับลืมไปว่าทั้งหมดนี้ ตัวผมเองยังเป็นแค่เด็ก (วัยรุ่นดื้อๆ คนหนึ่ง)
ฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ ทำให้ผมต้องทะเลาะกับอาปาและอาแหมะบ่อยมาก
พวกท่านหนักใจและเสียใจกับผมหลายเรื่อง โดยที่ผมยังคงทำตามใจตัวเองต่อไป
ซึ่งจริงๆ แล้ว ผมว่า มันเป็นความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผมเองในตอนนั้น
ตามแนวของวัยรุ่นเด็กๆ ที่ชอบทำตามสังคมนอกบ้านและเพื่อนๆ โดยที่คิดอะไรน้อยๆ เท่านั้น
เห็นเพื่อนมีอะไรก็อยากได้ อยากทำด้วยไปหมด โดยไม่ได้ดูกำลัง หรือแนวทางที่ครอบครัวเป็นอยู่เลย
ทั้งนี้ อาปากับอาแหมะไม่ได้ผิดอะไรเลยที่ตำหนิหรือสั่งสอน (บ่น) ผม
พวกท่านแค่ต้องการให้ผมมีสำนึก….. โดยเฉพาะต่อครอบครัว
เพราะกับเพื่อน จริงๆ แล้ว เราก็อยู่เล่นกันมาทั้งวัน เจอกันทั้งวัน มีเวลาได้พูดคุยกันพอสมควรแล้ว
ถึงเวลาก็ควรจะกลับบ้าน มาอยู่กับครอบครัว
ไปออกกำลังกาย หรือทำอะไรที่สร้างสรรค์ และทานข้าวกับที่บ้าน
ซึ่งผมมองว่า อาปา อาแหมะ ไม่เข้าใจผมเลยที่คิดแบบนี้
อย่างไรก็ดี อะไรที่ผมอยากได้ตามสังคมหรือเพื่อน…..
หลายอย่างอาปาอาแหมะก็หามาให้ แม้จะทะเลาะกันหนักในเรื่องนั้นๆ หลายครั้งก็ตามที
พวกท่านก็คงรักผม.....
…..
หลายปีต่อจากนั้น
ผมจึงเริ่มสำนึกได้จริงๆ เพราะเท่าที่รู้ ผมเองก็ไม่ได้คิดต่างจากพวกท่านมากนักหรอกในตอนนี้
เราควรจัดการความสำคัญสังคม เพื่อน และโดยเฉพาะครอบครัว
ให้อยู่ในความพอดี และเหมาะสม (ตามบริบทของแต่ละคน)
ลองนึกถึงเวลาที่คุณเองเป็นพ่อแม่…..
หรือมีครอบครัวเป็นของตัวเอง
และอยากให้ครอบครัวนั้น เป็นครอบครัวที่ดี มีความสุข
คุณจะทำยังไง ออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนบ่อยๆ
กลับบ้านช้าๆ ปล่อยให้คนที่บ้านรอทานข้าวยังงั้นหรือ
ทั้งนี้ สุดแล้วแต่คุณจะทำตามความเหมาะสม…..
อิสระที่เด็กๆ วัยรุ่นต้องการนั้น มันช่างมากมายเหลือเกิน
เมื่อได้มาแล้ว คุณก็ยิ่งจะต้องการมันเพิ่มขึ้น และเคยชินกับมัน
แต่ในวันหนึ่ง เมื่อคุณเติบโตขึ้นเป็นวัยรุ่น หรือผู้ใหญ่
อิสระนั้น คุณควรจะมีอยู่แต่พอดี ตามสมควร
หากมีเยอะไป คุณอาจขาดความรับผิดชอบ และยึดติดกับอิสระนั้นมากเกินพอดี
จนลืมเรื่องอื่นๆ ที่จำเป็นในชีวิตด้วย
นั่นคือ สิ่งที่อาปาและอาแหมะของผมเป็นกังวลกับตัวผมมาโดยตลอด…..
ตอนนี้ คิดว่า พวกท่านคงคลายกังวลไปได้บ้างแล้ว
โดย หนุ่มน้อยจากวันวาน
อ้างอิง: https://storylog.co/story/56376f783348349620421386
ขอบคุณสำหรับ ประสบการณ์ชีวิตที่ชวน "ฉุกคิด"เรื่องนี้ครับ ☺
ตอบลบ